จากรองฯ ขึ้นเป็นผู้ว่าฯ เมื่อ ตุลา ๕๗ ถึงตอนนี้ นั่งเมืองสุโขทัยครบ ๒ ปี ขาดอีกสองเดือน แต่จะเกษียณปีไหน...ไม่รู้?

ท่านโด่งดังในทางเป็น "ข้าราชการต้นแบบ" กี่ปี-กี่ชาติ น้ำยมหลากลงมาถึงสุโขทัยทีไร เป็นต้องท่วมเข้ายึดพื้นที่ยุทธศาสตร์ทีนั้น

แต่ครั้งนี้ ท่านผู้ว่าฯ ปิติ "เอาอยู่"! ที่เอาอยู่ เพราะ "รู้ร้อน-รู้หนาว" ในหน้าที่ ปัญหาซ้ำซากก็รู้แล้ว บทเรียนและประสบการณ์ก็มีแล้ว เมื่อเป็นผู้ว่าฯ ใส่ "สำนึกในหน้าที่" ลงไป

แผนรับมือทัพน้ำ ด้วย "แก้มลิง" ตามพระราชดำริ จึงเกิดขึ้น น้ำเหนือหลากลงมาถึงสุโขทัยปั๊บ......เจอบิ๊กแบ็ก "แนวต้าน" ที่ผู้ว่าฯ ระดมหัวหน้าส่วนราชการลงบัญชาการทัพเป็นด่านแรกปุ๊บ มวลน้ำยมก้อนใหญ่ ชะงักทันที.......ด้วยนึกไม่ถึง "ยุคปฏิรูป" จะสร้างข้าราชการมี "ภาวะผู้นำ" และ "คิดเป็น-ทำเป็น" ได้ขนาดนี้ แถมมีความรับผิดชอบสูง ผิดธรรมเนียมข้าราชการมหาดไทยในอัตราเฉลี่ยแต่อดีต ที่มักคลุกเคล้าไปวันๆ กับอำนาจรัฐและพวก ส.ส.รัฐบาล

น้ำมาทุกปี แทนที่จะคิดหาทางแก้ กลับแอบกระหยิ่มกันยกใหญ่ น้ำมา...เดี๋ยวงบก็หมุนมา!? แต่ครั้งนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไป ข้าราชการมีสำนึกรับผิดชอบพิทักษ์พื้นที่

ผู้ว่าฯ สุโขทัย แสดงศักยภาพ "พ่อเมืองยุคใหม่" ปฏิบัติการ "สร้างสำนึก-สร้างแรงดาลใจ" ให้สังคมใหม่ได้เห็น "คิดแผน" เองได้ ปฏิบัติการเองได้ ไม่รอให้รัฐบาล-รัฐมนตรีมหาดไทย ต้องเอาไม้มาแยงตูดก่อนจึงกระดิก ข้าราชการสุโขทัย กระดิกเอง..........รักษาเมืองสุโขทัย รอดเงื้อมมือ "กองทัพน้ำยม" ได้สง่างาม! ขณะที่มวลน้ำ ละล้า-ละลัง กับแผนรับมือผู้ว่าฯ

พลันก็ถูกดูดเข้าไปขังไว้ในแก้มลิงที่ทุ่งทะเลหลวงบ้าง หนองปลาหมอ ที่สวรรคโลกบ้าง ตามคู-คลองบ้าง น้ำยมสิ้นฤทธิ์ ไปต่อไม่เป็น!

นายกฯ ประยุทธ์เป็นปลื้ม ถึงกับสั่งให้ "พลตรีสรรเสริญ แก้วกำเนิด" ป่าวประกาศเกียรติคุณ "ผู้ว่าฯ ปิติ" ให้ได้ยินกันทั่วทั้ง ๗๗ หัวเมืองน้อยใหญ่ ยกเป็น "ข้าราชการต้นแบบ" แห่งยุค! ก็พลอยเป็นหน้า-เป็นตาเหล่า "ลูกพ่อขุน" ไปด้วย นัยว่าท่านเป็น "สิงห์ทอง" คือจบรัฐศาสตร์ จากรามฯ ผิด-ถูก บอกด้วยละกัน

ที่ผมหยิบเรื่องนี้มาคุย .......ก็ด้วยดีใจ ที่ขณะนี้ ประชาสังคมบ้านเมืองเรา ไม่ว่าคนระบบรัฐ-ระบบราษฎร์ เริ่มตื่นในสำนึก ที่จะทำอะไรดีๆ ให้บ้านเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ

อย่าไปมัวเพ่งเล็งและจมอยู่กับ "คนเลวซ้ำซาก" เลยครับ มาเพ่งเล็ง "คนดี" แล้วช่วยเชิดชูออกไปกว้างๆ เพื่อให้เป็นแรงดาลใจซึ่งกันและกัน ในด้านต้นแบบกระตุ้น "สำนึกดี-สำนึกใหม่ๆ" ในความเป็น "สังคมรวม" เพื่อ "อนาคตใหม่" ของบ้านเมืองไทยเราไงล่ะ!

ผมจับความเคลื่อนไหวสังคมชาติได้ วันนี้ คนไทย ทั้งรุ่นเก่า-รุ่นใหม่ ตื่นตัว-ตื่นใจ เกิดทัศนคติด้านดีใหม่ๆ ต่อชาติบ้านเมืองเราขึ้นเรื่อยๆ

หากแต่ไม่รู้ว่า จะเริ่มต้น "ดี" จากตรงไหน ในความเป็น "สังคมรวม" เท่านั้น!

ดังนั้น แบบอย่างดีๆ ตัวนำดีๆ แค่เก็บผักตบชวาขึ้นจากคลองหน้าบ้าน ๑ ต้น นั่นก็คือการ "เริ่มต้นดี" ที่จะเป็นต้นแบบ เป็นแรงดาลใจ เป็นหัวเชื้อ "รวมพลังไทย" ในการขับเคลื่อนสังคมชาติไทยเราได้แล้ว

ฟังที่นายกฯ ประยุทธ์พูดเมื่อวานหรือเปล่า ฟังเอาขำรายวันตามสไตล์นายกฯ ก็ได้ แต่ถ้าคนในทุกระบบฟังให้ "เกิดประกายคิด" ที่ท่านพูดเมื่อวาน...น่าคิด ตรงที่ท่านพูดว่า..........

"ขนาดปัญหาผักตบชวายังต้องสั่งการเอง ถ้าทุกคนเห็นผักตบแล้วเก็บกันคนละต้นปัญหานี้คงหมดไปนานแล้ว.......ทำไมต้องให้สั่งทุกเรื่อง

เพราะท้ายที่สุด ผักตบก็ไปไหลลงคลอง ทำให้น้ำไม่ระบาย แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร ใช้คนกี่คน ทหารไม่ต้องทำงานอื่นเลยหรือ ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เองก็ทำงานไม่ไหว

สังคมไทยเรา แต่ไหนแต่ไร ปัญหาส่วนรวม-สมบัติสาธารณะ คือ "ผีไม่มีญาติ" ต่างธุระไม่ใช่ด้วยกันทั้งนั้น

แต่วันนี้ กำลังเปลี่ยนไป....แฟนโซเชียลมีเดียจะเห็น ใครทำอะไรให้ "สังคมรวม" แม้นิดหน่อย แค่จูงคนชราข้ามถนน เก็บขยะอุดตันท่อระบายข้างถนน แม่ค้าให้อาหารคนไม่มีเงินซื้อ จะซาบซึ้ง ตื้นตัน นำมาโพสต์ มาแชร์ ยกย่อง-สรรเสริญ กันขนานใหญ่ ซึ่งผมไม่เคยมองข้าม แต่มองว่า นี่คือการ "เขยื้อนตัว" ทางสังคมสำนึกอันยิ่งใหญ่ จะเป็น "จุดเปลี่ยน" สังคมชาติไทยศิวิไลซ์ "สยามเมืองยิ้ม" กำลังจะกลับคืนมา!

ทหารไปเก็บผักตบ ๕ หมื่นตันที่เจ้าพระยา ทั้งข้าราชการชัยนาท ชาวบ้าน-ชาวช่อง ใครต่อใคร เห็น-ก็เฮละโลมาช่วย

ที่เพชรบูรณ์ ทหาร กรมป่าไม้ ไปรื้อถอนรีสอร์ตที่ "ภูทับเบิก" ถูกนายทุนและชาวเขา ทำกร่าง "ปิดล้อม" ไม่ยอมให้รื้อ สังคมรวม ก็หนุนเป็นกำลังใจ .......ให้เจ้าหน้าที่ "ลุยเต็มที่" อย่าไปยอมให้กับอิทธิพล ซึ่งอดีตหน่วยราชการและนักการเมือง ทั้งปล่อยปละ ทั้งสมคบให้รุกป่า-รุกเขา คือ "เอาด้วยกัน"

เมื่อ "ประชาสังคม" เกิดแรงดาลใจด้านดี หนุนเจ้าหน้าที่...ที่ทำดี เช่นนี้ บ้านเมืองนี้ อนาคตอันใกล้ ต้องสดใส น่าอยู่ ด้วย "สังคมดี-คนดี" แน่นอน!

ผมจะยกตัวอย่างชัดๆ ที่เราแข็งแกร่ง ก้าวสู่มิติ "ไทยยุคใหม่" ที่เราเองมองกันไม่ค่อยเห็นขึ้นเรื่อยๆ

โอลิมปิก แข่งร่วมร้อยประเทศ.......ไทยครองเหรียญที่ ๓๕ ของโลก ที่ ๔ ในเอเชีย รองจาก จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แต่......ที่ ๑ ในอาเซียน! เรื่องกีฬา ประเด็นอยู่ที่ เก่งคนเดียวไม่ได้ ต้องร่วมกันเก่ง หมายถึง "สามัคคี-รับผิดชอบ" ในหน้าที่ต้องสูง

"แรงดาลใจ" จากคนต้นแบบ นี่สำคัญ ดังนั้น ถ้าระบบราชการ สร้างข้าราชการให้เป็นต้นแบบดีมากๆ

"คิดกันเองได้-ทำกันเองได้" มีความรับผิดชอบสูง มีสำนึกในสังคมรวมสูง มีภาวะผู้นำสังคมสูง เป็นต้นแบบให้กับคนในแต่ละพื้นที่

สังคมไทย-สังคมใหม่ "จุดติด" แน่!

อดีตนั้น พูดกันว่า นายกรัฐมนตรี ยังไม่ใหญ่จริง

คนที่ใหญ่จริง มีอำนาจควบคุมประเทศไทยตัวจริง คือ......"ผู้ว่าราชการจังหวัด"! ผู้ว่าฯ ก็เหมือน "นายกรัฐมนตรี" แต่ละจังหวัด

แต่ทุกวันนี้ การเมืองระบบเลือกตั้ง จะเป็นผู้ว่าฯ ได้ ต้องเดินตามหลังนักการเมืองและนายทุนพื้นที่ จึงมีแต่ต้นแบบชนิด "รวยแล้วแบ่งกัน" เป็นแรงดาลใจ!

ผมไปจังหวัดไหน คำหนึ่งที่มักได้ยินชาวบ้านนินทา

"ปีเดียว ย้ายมารอเกษียณ จะหวังให้ท่านไปคิดทำอะไร?"

มันกลายเป็นวัฒนธรรมข้าราชการจริงๆ ซะด้วย ไม่ว่าตำรวจ-ทหาร-ข้าราชการพลเรือน แต่งตั้ง-โยกย้าย มุ่งเอาคน "ปีเดียวเกษียณ" ไปเวียน "รอผลัดตำแหน่ง" กัน แทนที่จะเอาคนมีอายุราชการอีกซัก ๒-๕ ปีเกษียณ ไปเป็นหัวหน้างาน เพื่อจะได้ทำงานแบบมีอนาคตแทนไปนอน "รอเกษียณ"! ตอบกับตัวเองก็ได้ ถ้าอีกปีเดียวเกษียณ ไฟด้วยกระตือรือร้นทำงานมันจะมีมั้ย? เหมือนคนรู้อนาคต "พรุ่งนี้ตาย" ยังจะอยากปลูกบ้านใหม่มั้ยล่ะ?

จากต้นแบบ "ผู้ว่าฯ สุโขทัย"......

พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ช่วยใคร่ครวญด้วย ในการแต่งตั้ง-โยกย้ายระดับ "หัวหน้า" ไม่ว่าอธิบดี-ปลัด-ผู้ว่าฯ-นายอำเภอ

ความจริง วันนี้ตั้งใจคุย "ภูเขาหัวโล้น" เชื่อมโยงถึง "บุคลากร" บางคน ที่ผมคิดว่า ถ้ารัฐบาลดึงตัวมาใช้ด้วย "กสิกรรมธรรมชาติ" ตามเส้นทางเศรษฐกิจพอเพียง น่าจะ "ถูกคน-ถูกงาน" สูงทีเดียว

.★เปลวสีเงิน

Link: คลิ๊กที่นี่